Tuesday, September 5, 2017

Fantasy to Reality





           
In the city of Pattaya in Thailand, there is a palace of a theatre with a huge faux-marble lobby that mimics a grand opera house. It boasts a large, comfortable 1000-seat theatre with an enormous stage equipped with the latest audiovisual systems. It's called: Tiffany's. It produces it's own performance – a revue, a vaudeville, a classic cabaret theatre-piece, with dance, music, synchronized song, and complex staging. The sets are as lavish and well-designed as you would see anywhere. The costumes are expensive, even spectacular.  But beyond this obvious entertainment lure is the main attraction: the cross-dressing actors, mainly men with a few women.. In Thai they are called khatoey, in English, Ladyboy. In most quarters they are revered and they are renowned in Asia for their beauty and talents.


Every night, two performances, packed houses, 1000 people, tourists and locals, stream into this theatre as they have for nearly 30 years. It is considered family theatre and families are abundant in the audience on any given night.



Unlike most other countries particularly in the West, Thai Ladyboys have been "out of the closet" for nearly 300 years. They are acknowledged, applauded and accepted with little embarrassment. Some have achieved great success in business, sports, music, the arts, education, and journalism even after making the surgical journey from men to women,. Much of this has to do with the Buddhist tolerance for difference and change: all things lack permanence—all things are part of transience and incarnation. Buddhist tradition teaches that  from life to life one's elements may be incarnated as male or female and some writers suggest that all of us have been khatoey in earlier lives.



In Thailand, as in other Southeast Asian cultures, different gender and sexual categories form part of the indigenous cultural tradition:  three original sexes the third being the male-female.



But it hasn't been easy. Many Ladyboys today are forced to work in cabarets and the after-hours life that comes with the business of show. Many have suffered strong personal condemnation from their families (especially fathers) as well as strong disrespect by segments of the society. And the law does not recognize transsexual khatoeys in Thailand. Even after surgery, they are not allowed to change their legal sex.



Last month, I went to Pattaya to see the 9th annual Miss Tiffany Universe pageant. It was a lavish, beautifully staged affair.



Thanyaras Jiraphatphakorn was crowned the new Miss Tiffany Universe. Judges awarded the 20-year-old Thanyaras—a Kasetsart University student whose real name is Disanee Jitrapajin—the Miss Tiffany Universe crown based on his 'charming ladylike appearance' and 'brilliant' answers to their probing questions.



She received a diamond crown, an A-Class Mercedes Benz and 100,000 Baht cash. She will also be the "lady of the second category" representative of Thailand in the forthcoming contest for Miss International Queen 2007



In her press conference, when asked whether it was possible for a khatoey to become a politician, Thanyaras answered, "Sure, it is. In the future, there might be prime minister who is a Ladyboy."  However, he added that much depends on whether Thai society can change their negative views of khatoeys. "Society should judge people by what they do rather than considering what sex they are."



There are a number of Ladyboys with high profiles in professions other than cabaret theatre.





This is one of the most famous faces in Thailand. Nong Toom was a champion kickboxer—but that was six years ago before Nong had sex reassignment surgery.  As a man Nong was a national hero, idolized for his mastery of "Muay Thai"—traditional Thai kickboxing. Within Thailand's professional boxing circuit, the boundary between male and female has always been clear. Women are thought to bring "bad magic" into the ring and are prohibited from stepping inside.



She was the winner of 22 professional fights with 18 knockouts and countless bruises that spanned a six-year career in the ring. Now, as a woman, Nong is barred from the ring. She can never compete again.



A few years ago, Nong Toom's extraordinary life was captured in the film "Beautiful Boxer." The movie rejuvenated Nong's career—she has appeared in music videos, advertisements, soap operas, and is pursuing a career in singing and performing. But the film also raised awareness of the issues faced by Thailand's many Ladyboys.


Nong's goal is to "have what every woman wants both now and in the future. I want to have a family, a husband...I think there must be someone out there who will love me for who I am."



As an old Thai proverb tells us -- men are the front legs of an elephant and women are the back legs. Since an elephant walks with the front legs first and the back legs follow, it means that a man is more honored and has more opportunity than a woman, a proverbial truth no matter what journey she takes to become one.










ที่เมืองพัทยา ประเทศไทย พระราชวังแห่งโรงละครมีล็อบบี้หินอ่อนที่ทำเลียนแบบแกรนด์ โอเปร่า เฮาส์ ที่แห่งนี้ มี 1,000ไม่เหมือนกับประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะทางตะวันตก เลดี้บอยชาวไทยได้ "ออกจากการปิดบัง มาเป็นเวลากว่า 300 ปีแล้ว พวกเขา ได้รับการชื่นชมและยอมรับ บางคนมีความสำเร็จทางธุรกิจ กีฬา ดนตรี ศิลปะ การศึกษา งานด้านข่าวสาร ภายหลังจากการทำศัลยกรรมเปลี่ยนจากชายเป็นหญิงมีคำสอนของศาสนาพุทธในเรื่องของความแตกต่างและความเปลี่ยนแปลงมีอยู่ว่า ทุกสิ่งไม่เที่ยงแท้ยั่งยืน สิ่งต่างๆเป็นส่วนหนึ่งของการตายและการกลับมาเกิดใหม่ เราเคยเกิดเป็นหญิงหรือชายมาก่อนนักเขียนบางท่านบอกว่าพวกเราทุกคนเคยเกิดมาเป็นกะเทยมาแล้วในชาติก่อนๆ


ในประเทศไทย เช่นเดียวกับในวัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อื่นๆ เพศที่แตกต่างกันและการจัดกลุ่มทางเพศการจัดกลุ่มทางเพศจากส่วนของประเพณี

วัฒนธรรมแบบดั้งเดิม มีเพศที่สามเกิดขึ้นนอกจาก ชาย-หญิง


แต่นั่นก็ไม่ได้ง่ายดายนัก ทุกวันนี้เลดี้บอยหลายคนต้องทำงานแสดงคาบาเรต์ และบ้างก็มากับธุรกิจการโชว์ตัวต่างๆ หลายคนต้องทุกข์ทนกับการตำหนิติเตียนเรื่องส่วนบุคคลจากครอบครัว (โดยเฉพาะบิดา) และความไม่เคารพกันอย่างรุนแรงจากสังคม และกฎหมายประเทศไทยไม่จำแนกแยกแยะกะเทยที่แปลงเพศแล้วภายหลังการศัลยกรรม พวกเขาก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เปลี่ยนเพศ ตามกฎหมายเมื่อเดือนที่แล้วดิฉันไปพัทยาเพื่อไปชมงานประกวด มิสทิฟฟานี ยูนิเวอร์ส ครั้งที่ 9 ประจำปี 2550 เป็นงานประกวดที่จัดเวทีสวยงามและ ยิ่งใหญ่มาก



ธัญญรัศม์ จิราภัทร์ภากร ได้สวมมงกุฏรับตำแหน่งมิสทิฟฟานี ยูนิเวอร์สคนใหม่กรรมการตัดสินมอบตำแหน่งให้นักศึกษาวัย 20 ปีจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ที่มีชื่อจริงว่า ดิษณี จิตราภาจิณ เป็นมิสทิฟฟานี ยูนิเวอร์สเพราะว่าเธอมีลักษณะภายนอกเหมือนผู้หญิงแท้ที่มีเสน่ห์และตอบคำถาม

ได้อย่างชาญฉลาด


เธอได้รับมงกุฎเพชร รถยนต์เมอร์เซเดส เบนส์ เอ คลาส และเงินสดจำนวน 100,000บาท และยังได้เป็นตัวแทนสาวประเภทสองของประเทศไทยไปประกวด

มิส อินเตอร์เนชั่นแนล ควีน 2007 ที่กำลังจะมาถึงอีกด้วย


ในการสัมภาษณ์กับสื่อมวลชนของเธอ เมื่อถูกถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่กะเทยจะเป็นนักการเมือง ธัญญรัศม์ตอบว่า "แน่นอน ในอนาคตอาจมีนายกรัฐมนตรีที่เป็นเลดี้บอย" ขึ้นอยู่กับว่าสังคมไทยสามารถเปลี่ยนทัศนคติด้านลบในเรื่องของกะเทยได้หรือไม่ เธอได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า "สังคมควรตัดสินบุคคลว่าเขาทำอะไรมากกว่าการพิจารณาว่าเขาเป็นเพศอะไร" มีจำนวนเลดี้บอยหลายคนที่ทำอาชีพอื่นๆนออกเหนือไปจากการแสดงคาบาเรต์



นี่เป็นใบหน้าที่เป็นที่รู้จักกันดีที่สุดในประเทศไทย น้องตุ้มเป็นแชมป์มวยไทย เป็นเวลา 6 ปีก่อนที่น้องตุ้มจะทำศัลยกรรมแปลงเพศ ตอนเป็นผู้ชายน้องตุ้มเป็นวีรบุรุษของชาติ เขาเป็นที่รู้จักในเรื่องความเชี่ยวชาญมวยไทย ในการแข่งขันชกมวยอาชีพของไทย ขอบเขตระหว่างผู้ชายและผู้หญิงมีความชัดเจน มีความเชื่อว่าผู้หญิงจะนำโชคไม่ดีเข้าสู่สนามและผู้หญิงยังถูกห้ามไม่ให้เข้าไปข้างในเวทีอีกด้วย



เธอเป็นผู้ชนะการชกอาชีพ 22 ครั้ง ชนะน็อก 18 ครั้งเป็นเวลา 6ปีที่อยู่ในสังเวียนมวย ตอนนี้เธอเป็นผู้หญิงแล้วได้จึงแขวนนวม ไม่สามารถแข่งขันได้อีกต่อไป



สองสามปีที่ผ่านมา ชีวิตที่ไม่ธรรมดาของน้องตุ้มได้ปรากฏอยู่ในภาพยนตร์เรื่อง"Beautiful boxer" ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ต่อชีวิตการทำงานของน้องตุ้ม เธอปรากฏในมิวสิค วิดีโอ โฆษณา ละครโทรทัศน์ และกำลังทำอาชีพร้องเพลงและการแสดง แต่ภาพยนตร์ก็ได้เพิ่มความตื่นตัวในประเด็นเรื่องเลดี้บอยมากมายในประเทศไทย



เป้าหมายของน้องตุ้มคือ "มีทุกสิ่งทุกอย่างที่ผู้หญิงต้องการทั้งในตอนนี้และใน อนาคต ฉันอยากมีครอบครัว มีสามี จะต้องมีใครสักคนที่รักฉันอย่างที่ฉันเป็นอยู่"

มีภาษิตไทยโบราณบทหนึ่งบอกเราว่า ผู้ชายเป็นเท้าหน้าของช้าง ผู้หญิงเป็นเท้าหลังของช้าง เพราะช้างเดินด้วยเท้าหน้าก่อนและเท้าหลังติดตามไป หมายถึง
ผู้ชายมีเกียรติและโอกาสมากกว่าผู้หญิง ภาษิตยังเป็นจริงไม่ว่าเธอจะเลือกไปในเส้นทางไหนเพื่อเป็นอะไรก็ตาม ที่นั่ง สะดวกสบาย พร้อมเวทีขนาดใหญ่ติดตั้งอุปกรณ์แสง สี เสียงที่ทันสมัยที่สุด สถานที่นี้เรียกว่าโรงละครทิฟฟานีมีการแสดงคาบาเรต์ การเต้นรำ เล่นดนตรี ร้องเพลง และการแสดงบนเวที การจัดฉากนั้นสวยงาม ออกแบบมาเป็นอย่างดี เครื่องแต่งกายนั้นมีราคาแพงและสวยงามนอกเหนือไปจากความบันเทิงที่เห็นได้ชัดคือนักแสดงชายที่แต่งกายเป็นหญิงและผู้หญิงแท้จริงสองสามคน ภาษาไทยเรียกผู้ชายกลุ่มนั้นว่า "กะเทย"หรือ Ladyboy ในภาษาอังกฤษ ในหลายๆประเทศพวกเขาเป็นที่ชื่นชอบและเป็นที่รู้จักในเอเชียในเรื่องความงามและพรสวรรค์


ทุกค่ำคืนมีการแสดงสองรอบ ผู้ชมเต็มตลอด 1,000 คน เป็นนักท่องเที่ยวและคนในท้องถิ่น เข้ามาเยี่ยมชมโรงละครแห่งนี้เป็นเวลาเกือบ 30 ปี เรียกได้ว่าเป็นโรงละครแบบครอบครัวและมีหลายครอบครัวมาเข้าชมทุกค่ำคืน





Janine Yasovant June 2007





No comments:

Post a Comment

Lakey Inspired